- ความหวังของคุณยายผมสีดอกเลา-
| บางครั้งความหวังก็ปลิวหายไปก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก
เสียงที่ปัดน้ำฝนดังเป็นจังหวะ ชะเอาสายฝนที่กำลังเทกระหน่ำลงเบื้องหน้าช่วยให้มองเห็นแสงไฟจากโรงพยาบาลได้ชัดขึ้น
“23.39”
ฉันมองดูตัวเลขที่ปรากฏบนหน้ารถเคสคันประจำ เมื่อทีมมาถึงหน้าโรงพยาบาล พร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูรถและวิ่งขึ้นโรงพยาบาลอย่างไวที่สุด
หลังจากลงจากรถอย่างทุลักทุเลเพราะสายฝนที่ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยหลังจากเทกระหน่ำมาตั้งแต่สามชั่วโมงที่แล้ว
สภาพของโรงพยาบาลรัฐขนาดเล็กแถบชานเมือง สีของพื้นผนังสีครีมขุ่นตัดกับขอบสีเขียวเข้ม ยิ่งดูอึมครึมไปยิ่งกว่าปกติเมื่อผสมเคล้ากับไอชื้นจากสายฝน
เก้าอี้ดูร้างผู้คนต่างจากปกติ....แต่คงจะนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วไม่ใช่หรอ หลังจากทักทายกับทีมมูลนิธิพอเล็กน้อยแล้ว ทีมมุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินอย่างเคยชิน
พยาบาลสวัสดีคุณหมอดก่อนจะยื่นประวัติการรักษามาให้
“ไม่มีโรคประจำตัวค่ะ คุณหมอ อายุ 25 ปี แต่ค่อนข้างจะอ้วน เพื่อนที่พามาส่งเล่าว่า ช่วงหลังๆ มานี้เป็นลมบ่อยครั้ง”
ฉันเปิดผ้าม่านที่ปิดเตียงของผู้เสียชีวิตไว้ระหว่างที่คุณหมอกำลังอ่านประวัติอย่างตั้งใจ
“อื้ม ตัวใหญ่จริงๆ” คุณหมอพูดก่อนจะค่อยๆ ตรวจดูสภาพศพ
สภาพศพเพศหญิงอยู่ในช่วงวัยรุ่น ปากที่ตอนนี้คล้ำเขียว เปลือกตาระบายสีฝาดคล้ำเข้มจากหลอดเลือดฝอย ร่างกายที่ดูอ้วนท้วนตอนนี้กลับดูซีดเซียว
หญิงสาววัยรุ่นผู้ที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า เธอทำงานเป็นพนักงานของห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่นัก เธอถูกหามส่งโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติกระทันหัน
“พลิกไหวไหม เรียกกู้ภัยหรือเปล่า” คุณหมอถามฉันด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“ไหวสิคะ คุณหมอ” ฉันตอบกลับทันทีที่โดนแซว
ความหนักอึ้งของร่างที่กำลังเอนมาฝั่งของฉันเพื่อให้คุณหมอดูการตกของเลือดบริเวณหลัง ที่ยังคงทิ้งไออุ่นไว้เพียงเล็กน้อย ความเย็นชืดของสัมผัสเริ่มเข้ามาแทนที่ และในไม่ช้าไออุ่นของชีวิตก็หายเหือดไป ทิ้งไว้แค่ร่างกายและจิตวิญญาณที่ว่างเปล่า
หลังจากที่เขียนชื่อศพและติดป้ายข้อมือศพเรียบร้อยแล้ว
“ไหนญาติเขาล่ะ เขามีญาติไหม เพราะต้องส่งศพไปชันสูตร”
“มีครับคุณหมอ แต่...” พี่กู้ภัยพูดออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนเต็มที ก่อนจะพูดต่อ
“คืออย่างงี้ครับคุณหมอ เธอคนนี้อยู่กับยายแค่สองคน ไม่มีญาติที่ไหน ตอนนี้ยายนั่งรออยู่ด้านนอก”
คุณหมอพูดก่อนจะผลักประตูออกไปและเดินไปหาคุณยายที่กำลังนั่งด้วยสายตาอันรอคอย
“คุณยายคะ มีบัตรประชาชนหลานมาไหมคะ” ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“มีสิมี แต่หลานยายหายแล้วใช่ไหม”
กลายเป็นประโยคที่ทำให้ทุกคนเงียบกริบ โดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาชั่วครู่หนึ่ง
ก่อนพี่กู้ภัยจะลากทีมออกมาแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง
“ปัญหาคือ ยายเขายังไม่รู้หนะสิครับ ว่าหลานคนเดียวของแกเสียแล้ว”
ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจความกระอักกระอ่วนที่พี่ภู้ภัยแสดงออกมาก่อนหน้านี้ แล้วมันก็ทำให้คุณหมอและทีมหยุดนิ่งกันได้อีกครั้งจริงๆ
“อ้าว....แล้วทำยังไงอะ” คุณหมอพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ถ้าคุณหมอไม่บอก ก็ต้องให้คุณตำรวจบอกแหละครับ”
พี่กู้ภัยพูดออกมาก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ
ฉันมองกลับไปหาคุณยายอีกครั้ง ก่อนจะพบกับแววตาที่ส่งผ่านมานั้น สายตาของความเฝ้ารอ
ผมสีดอกเลาเคล้าปอยผมหยักศก เสื้อคอกระเช้าสีฟ้าอ่อนนั่น กับผ้าถุงลายไทยสีซีดจาง รองเท้าแตะที่ถูกถอดวางไว้ ใกล้ๆ คุณยายมีผู้หญิงวัยเดียวกับหลานสาว นั่งประคองอยู่ไม่ห่าง
หญิงชรายังคงนั่งอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ตรงเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินสภาพซอมซ่อนั่น เฝ้ารอเพียงความหวังอันหริบหรี่ที่พร้อมจะฟุ้งกระจายหายตามแรงของกระแสลมที่พัดผ่าน หรือแม้แต่กลบหายไปกับเซ้าเสียงสายฝนที่สาดเทอยู่ด้านนอก
เฝ้ารอโดยไม่รู้ว่าความหวังนั้นได้ฟุ้งหายไป หายไปแล้วนับตั้งแต่ตอนไหน คงจะไม่มีใครบอกได้เช่นกัน
ไม่นานนักตำรวจก็เดินเข้ามาในโรงพยาบาลพร้อมกับเม็ดฝนที่เปียกชื้นอยู่บนชุดสีกากี
ซึ่งดูเหมือนว่าความกดดันของการบอกคุณยายก็คงจะตกไปอยู่ที่ตำรวจแล้วอย่างแน่นอน
“คุณหมอบอกสิครับ”
และตำรวจก็ผลักให้คุณหมออีกครั้ง คล้ายกับว่าการเล่นเกมส์โยนไปมานี่จะสร้างเสียงหัวเราะได้ในสถานการณ์นี้ ถึงจะเฝื่อนจนชืดไปก็ตาม
แม้ทุกคนจะดูมีความกล้าอันมากโข แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ความกล้านั้นดูน้อยนิดและไม่เพียงพอที่จะรับสิ่งที่จะพบเจอหลังจากนั้นได้เลย
ทุกคนเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าคุณยายอย่างระมัดระวังที่สุด
“เป็นอย่างไรบ้างคะ คุณหมอ กิ๊บหลานยาย หายแล้วใช่ไหมคะ”
คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงของความหวัง ที่หวังไว้อย่างแน่นอนว่าจะได้รับข่าวดี
น้ำเสียงของความซื่อ และเชื่ออย่างสนิทใจว่าหลานของตัวเองนั้นปลอดภัยดีเสมอมา
“คืออย่างงี้นะครับคุณยาย......” ในที่สุดหน้าที่ก็ตกอยู่ที่คุณหมอ
“หลานคุณยายเสียชีวิตแล้วนะครับ คุณหมอเสียใจด้วยจริงๆ”
แล้วเหตุการณ์ที่ทุกคนคาดหวังว่าไม่ให้เกิดขึ้น ...ก็เกิดขึ้น
“ไม่จริ๊งงงงง....” คุณยายตะโกนเสียงดังจนลั่นโรงพยาบาล กลบทุกสรรพเสียงรอบข้าง
น้ำตาที่หลั่งออกมาไม่ต่างกับสายฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ข้างนอกนั่น
“ไม่จริง แล้วยายจะอยู่ยังไง ไม่จริงใช่ไหมคุณหมอ”
ประโยคเดิมๆ เริ่มวนกลับเหมือนกรอเทป
“คุณหมอรักษาดีแล้วใช่ไหม”
สองขาอันบอบบางของคุณยายเริ่มทรุดลงตรงหน้าเก้าอี้ตัวนั้น
สองมือที่เริ่มทุบตรงอกก่อนจะพูดมันอีกครั้ง “ไม่จริง ไม่จริง หลานยายยังไม่ตาย”
“เรามีกันอยู่สองคนแท้ๆ ทำไมไม่ให้ยายไปก่อน แล้วยายจะอยู่ต่อไปยังไง”
ความแหลกสลายได้เกิดขึ้น ณ ตรงนั้น ทุกอย่างดูพังลงมาเบื้องหน้าฉัน แต่ทุกอย่างของคุณยายคงพังสลายไปยิ่งกว่าความรู้สึกที่ฉันเผชิญอยู่ขณะนั้นเป็นแน่
“ยายแกเช่าบ้านกับหลานสองคน ไม่มีญาติที่ไหน แม่มันไม่เอา ยายเลยต้องเอามาเลี้ยง”
เสียงพี่กู้ภัยคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ ข้างฉัน
ฉันพยายามที่จะเก็บความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าไว้ภายใต้หน้ากากแผ่นบางนี่
ทุกคนพยายามที่จะไม่แสดงว่ามันหนักหนามากเพียงใด
ก่อนที่คุณหมอจะสะกิดฉันเบาๆ และดึงฉันออกจากห้วงเวลาอันสาหัสนั่น
“เราหมดหน้าที่แล้ว ไปกันเถอะ”
ลมเย็นชื้นที่โชยมาก็คงจะไม่ได้ช่วยปลอบประโลมความรู้สึกที่แหลกสลายนี้ได้
เสียงฝนที่เทกระหน่ำก็แทบจะไม่ได้ช่วยกลบความรู้สึกอันหนักหนาตรงนี้ได้เช่นกัน
ทั้งชีวิตของหลานตัวน้อยที่ใช้ชีวิตมาตลอดนั่นกับยายของเธอเพียงสองคน
ช่วงชีวิตของคุณยายยี่สิบห้าปีหลัง ที่มีชีวิตอยู่กับหลานเพียงสองคนเช่นกัน
สองชีวิตที่ผูกพันธ์กันยิ่งกว่า เวลายี่สิบห้าปีก็ดูน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าไม่มีใครอยู่กับเราได้ไปตลอด แต่คงจะไม่มีใครทำใจให้คิดได้ว่า
ถ้าวันพรุ่งนี้คนคนนั้นจากไป เราจะยอมรับการพังทลายของความรู้สึกนั้นได้
... เพียงเพราะเราคิดว่า รู้ดีอยู่แล้ว ก็คงไม่ใช่ .
ความหวัง มันจะดูน่ายินดี เมื่อมันสมหวัง
แต่เมื่อความหวัง ไม่สมหวัง มันก็ช่างสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวได้อย่างสาหัสเช่นกัน
.................................................................................
ฉันเพียงหวังไว้เป็นอย่างยิ่งในใจว่า
ขอให้ทุกอย่างช่วยเยียวยาบาดแผลนั้น
ถึงฉันจะเชื่อว่าเวลาจะทำหน้าที่ของมัน แต่เวลาของคุณยายวัยเก้าสิบคนนี้จะยังคงเหลือเวลามากพอให้เยียวยาเศษเสี้ยวที่แตกสลายนี้ได้หรือเปล่า
ความคิดเห็น